การสื่อสารภายในองค์กรเพื่อป้องกันข่าวลือ
ข่าวลือก็เหมือนไฟ แม้จุดเริ่มต้นจะเป็นเพียงสะเก็ดไฟเล็กๆ แต่เมื่อได้ลุกลามไปแล้วก็ยากที่จะสกัดเพลิงได้ ข่าวลือไม่ว่าจะเกิดจากสาเหตุใด ล้วนสร้างความวุ่นวาย สร้างความเสียหายตามมา การรับฟังข่าวสารจึงเป็นเรื่องที่เราประมาทไม่ได้ เพราะแม้แต่คนที่มีใจหนักแน่นรู้จริงเห็นจริงมาตลอด ก็ยังเคยหลงเชื่อข่าวลือมาแล้ว ดังสุภาษิตจีนเรื่อง เจิงซานฆ่าคน
เจิงซานเป็นลูกศิษย์ของขงจื๊อ เป็นคนกตัญญูต่อพ่อแม่ และมีความสุขุมรอบคอบ ไม่ว่าจะทำอะไรเขาจะไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วน เพราะเหตุนี้แม่ของเจิงซานจึงมีความเชื่อมั่นในความประพฤติดีของลูกชายอย่างมาก วันหนึ่ง เจิงซานออกไปทำธุระส่วนแม่ของเขาได้นั่งทอผ้าอยู่กับบ้าน สักพักมีเพื่อนบ้านวิ่งหน้าตาตื่นมาบอกแม่ของเจิงซานว่า “ เจิงซานฆ่าคนตาย ” แม่ของเจิงซานฟังแล้วยิ้มบอกว่าไม่จริงหรอก ลูกของฉันไม่มีวันไปฆ่าใคร และไม่ว่าเพื่อนบ้านคนนั้นจะยืนยันอย่างไรก็ไม่อาจสั่นคลอนความเชื่อของนางได้แม้แต่น้อย ในที่สุดเพื่อนบ้านจึงได้กลับไป
สักพักก็มีเพื่อนบ้านอีกคนมาแจ้งข่าวนี้กับนางอีก เพื่อนบ้านคนนี้เป็นที่นับหน้าถือตาของคนในสังคมอย่างมาก แต่นางฟังแล้วก็เฉยๆ ยังคงทอผ้าต่อไปตามปกติ เวลาผ่านไปอีกสักครู่เพื่อนบ้านอีกคนก็วิ่งมาบอกนางด้วยความตื่นตระหนกว่า เจิงซานถูกจับแล้วและขอให้นางรีบหนีไปให้เร็วที่สุด เพราะในสมัยนั้นใครที่มีลูกทำความผิดฐานฆ่าคนตาย กฏหมายจะลงโทษประหารพ่อและแม่ด้วย คราวนี้แม่ของเจิงซานใบหน้าซีดเผือด ขณะที่นางตกใจแทบสิ้นสตินั้นเจิงซานก็กลับมาบ้านพอดี เขาบอกกับนางว่าวันนี้มีผู้ร้ายฆ่าคนชื่อแซ่เดียวกับผม ผมยังนึกอยู่ว่าอาจมีคนเข้าใจผิด คิดว่าเป็นตัวผมก็ได้ แม่รู้ว่าลูกจะต้องไม่ไปฆ่าใครแน่นอน แต่ใครๆ ก็พูดอย่างนั้น จนกระทั่งแม่ก็เริ่มคล้อยตามไปแล้ว ข่าวลือนี้ช่างน่ากลัวจริงๆ
จะเห็นได้ว่าข่าวที่ลือมาถึงหูเพียงไม่กี่ครั้ง ยังสั่นคลอนความเชื่อมั่นที่ผู้เป็นแม้มีต่อเจิงซานได้ ทั้งที่นางเลี้ยงดูเขามาตั้งแต่เล็ก เห็นความประพฤติของเขามาตลอด โชคยังดีที่เจิงซานกลับมาชี้แจงได้ทัน ก่อนเหตุการณ์นั้นจะบานปลาย ในสังคมที่เต็มไปด้วยการสื่อสาร ข่าวลือจึงเป็นอันตรายในชีวิตประจำวันที่อาจเกิดขึ้นได้อย่างง่ายดายทั้งโดยเจตนาและไม่เจตนา
เคยมีนักวิชาการทางนิเทศศาตร์ เล่าถึงทฤษฎีหนึ่งให้ฟังว่า บางครั้งเมื่อสื่อมวลชนได้นำเสนอข่าวที่ตนสร้างเรื่องขึ้นโดยจินตนาการ หรือใช้วิจารณญาณส่วนตัวคาดเดาเหตุการณ์เอาเอง เมื่อข่าวนั้นได้เผยแพร่ออกไปก็จะมีสื่อมวลชนอื่นๆ มารับเรื่องต่อ อาจมีการวิพากษ์วิจารณ์เป็นประเด็นให้พูดกันต่อๆ ไป จนไม่รู้ว่าต้นเรื่องมาจากไหน ใครเป็นคนให้ข่าว ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือ เมื่อสื่อมวลชนผู้ที่เป็นคนสร้างเรื่องนี้ได้รับข่าวที่แพร่สะพัดกลับมา ก็ยังหลงคิดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องจริง หรือเป็นไปตามที่ตนคาดเดาจริงๆ กลายเป็นว่าคนที่สร้างข่าวลือ ได้หลงเชื่อข่าวลือนั้นเสียเอง นี่คือตัวอย่างของการสร้างกระแสข่าว ซึ่งมีผลกระทบต่อสังคมอย่างมาก ถึงขนาดชี้นำความคิดของผู้คนในสังคมได้
เราจึงต้องมีสติในการรับสื่อต่างๆ ต้องรู้จักกลั่นกรองข้อมูลและสั่งสมข้อมูลในตนเองให้มากพอที่จะเป็นพื้นฐาน ในการวิเคราะห์ข่าวสารที่เราได้รับในแต่ละวัน นอกจากนี้หากมีข่าวสารใด ที่เราไม่สามารถวิเคราะห์ได้ด้วยตนเอง ก็ควรซักถามจากผู้รู้ หรือแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้เท่านั้นเพราะเพียงแค่เราซักถามกันปากต่อปากไปเรื่อยๆ นั้น เรื่องที่ยังไม่แน่ว่าจริงหรือไม่จริง ก็อาจถูกแพร่กระจายกลายเป็นข่าวใหญ่ไปเสียแล้ว เท่ากับว่าเราช่วยประโคมข่าวโดยไม่รู้ตัว
ข่าวลือจึงเป็นภัยสังคม ที่สร้างความเสียหายอย่างมาก ตั้งแต่ระดับบุคคลไปจนถึงระดับองค์กร และประเทศชาติ
จากหนังสือ ทันโลกทันธรรมเล่มที่ 1
#lifEandSoul
#ติดตาม ธรรมะ คำคม ข้อคิด ได้ที่
LINE @ : https://line.me/R/ti/p/%40jjx9044s และคลิกที่ Home ครับ
วันศุกร์ที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2561